ต้นขาใหญ่ปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็มีความวิตกกังวล เพราะทำให้ขาดความมั่นใจในในตัวเอง และเมื่อมีอายุมากขึ้นระบบเผาผลาญในร่างกายก็จะไม่ได้ทำงานได้ดีเหมือนตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่นที่จะกินอะไรหรือทำกิจกรรมอะไรก็ไม่ส่งผลให้เราอ้วนขึ้นมาได้โดยง่าย แต่เมื่อมาถึงในวัยที่กินอะไรก็อ้วนขึ้น ขาใหญ่ขึ้นได้ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็อยากได้ขาเรียวเล็กเหมือนในอดีตกลับมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากในยุคนี้ยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเราเสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 เลยก็ว่าได้และวิธีลดต้นขาที่ยุคนี้สาว ๆ นิยมใช้กันมากขึ้นนั้นจะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกัน
ก่อนลดไขมันต้นขาต้องรู้อะไรบ้าง
ก่อนการเริ่มลดต้นขา ควรสำรวจที่ขาของตัวเองก่อนว่า ขาของคุณนั้นใหญ่จากสาเหตุอะไร โดยมีสาเหตุอยู่ 2 อย่าง คือขาใหญ่จากการสะสมไขมัน หรือขาใหญ่จากกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถสำรวจได้ด้วยการนั่งเหยียดขาและใช้มือบีบบริเวณต้นขาและดึงยืดออก ถ้ายืดออกได้มากแสดงว่าต้นขาของคุณใหญ่ขึ้นด้วยสาเหตุของการสะสมไขมันและเซลลูไลต์
วิธีลดต้นขาด้วยเทคโนโลยีมีอะไรบ้าง
ฉีดลดต้นขา (Lipodissolve) เป็นการฉีดตัวยาที่มีสรรพคุณช่วยสลายไขมันเข้าไปที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังโดยตรง เหมาะสำหรับไขมันส่วนเกินที่ไม่สามารถหายไปได้ โดยยาที่ใช้จะเป็นกลุ่มยาหลาย ๆ ตัวผสมกันแล้วฉีด เช่น Phosphatidylcholine, L-carnitine, Deoxycholate, Dexpanthenol (B5), Amino acids, Minerals ฯลฯ ซึ่งตัวยาจะเข้าไปทำให้ผนังไขมันเกิดการแตกตัว ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนจะสลายออกเป็นไขมันเหลว แล้วรอร่างกายดูดซึมกลับไปเอง โดยวิธีนี้อาจจะต้องฉีดต่อเนื่องอยู่เรื่อย ๆ เพราะการฉีดครั้งหนึ่งจะละลายไขมันได้แค่เพียงบางส่วนเท่านั้น จึงทำให้หลายคนทำแล้วไม่ได้ผล
ดูดไขมันต้นขา หรือ Vaser ต้นขา (Vaser liposelection) อันนี้ทั้งเจ็บทั้งแพง เห็นผลก็จริง แต่ถ้าไม่ควบคุมอาหารหรือไม่ออกกำลังกายก็กลับมาเป็นอีก เอาเป็นว่าไม่แนะนำครับ ราคาทำก็หลักหมื่นขึ้นไปจนถึงหลักแสน หลักการคือเป็นการดูดสลายไขมันโดยใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียง (Ultrasound) เพื่อให้ไขมันเกิดการแตกตัวหรือสลายตัวเป็นไขมันเหลวเพื่อให้ดูดออกมาได้โดยง่าย
การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันต้นขามีอะไรบ้าง
1.ต้องรู้ก่อนว่าการดูดไขมัน ไม่ใช่การลดน้ำหนัก
ข้อนี้คือสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อน เพราะการดูดไขมันเป็นการนำเซลล์ไขมันออกจากร่างกายเฉพาะจุด โดยที่มวลไขมันจะลดลง แต่ไม่ใช่การทำให้น้ำหนักลดดังนั้นหากดูดไขมันแล้ว แต่น้ำหนักยังเท่าเดิม หรือลดลงเพียงเล็กน้อยก็ไม่ต้องแปลกใจไป
2.งดการทานอาหารเสริมหรือยาปฏิชีวนะก่อนดูดไขมัน 2 อาทิตย์
การดูดไขมันนั้นจำเป็นจะต้องลดยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาละลายลิ่มเลือด ยารักษาอาการของโรคซึมเศร้า โดยรวมไปถึงอาหารเสริมที่มีผลข้างเคียงในด้านการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันตับปลา และวิตามิน E เนื่องจากในการดูดไขมันจำเป็นจะต้องใช้ยาชาซึ่งอาจมีฤทธิ์ต่อต้านตัวยาหรืออาหารเสริมที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อความปลอดภัยควรงดล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีสารตกค้างในร่างกาย
3.งดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก่อนการดูดไขมัน
การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันก่อนการดูดไขมัน จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้แผลสมานตัวช้าหรือติดเชื้ออักเสบได้ ทางที่ดีควรงดอย่างต่ำ 2 สัปดาห์เป็นต้นไป
4.แจ้งโรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำให้แพทย์ทราบ
การแจ้งให้แพทย์ถึงโรคประจำตัวหรือยาที่ทานอยู่ เพื่อความปลอดภัยในการจ่ายยาหรือการใช้ยาชาก่อนจะทำการดูดไขมัน ในบางครั้งยาบางชนิดก็สามารถต้านยาอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นข้อแนะนำว่าให้แจ้งทันที เพื่อที่แพทย์จะได้วางแผนในการดูดไขมันต่อไป
5.เตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย
การดูดไขมันนั้นจำเป็นจะต้องพักเป็นเวลา 1-3 วัน โดยหลังจากผ่าตัดจะต้องสวมชุดกระชับสัดส่วนทันที ดังนั้นควรเตรียมชุดกระชับสัดส่วนสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ไว้เสมอ เพื่อความสะดวกของตัวเอง
6.การดูดไขมันอาจมีผลข้างเคียง
ถึงการดูดไขมันจะเป็นวิธีที่ดี แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ในบางกรณี เช่นอาจเกิดอาการบวมช้ำบริเวณที่ทำการดูดไขมัน ซึ่งขึ้นอยู่สภาพร่างกายของแต่ล่ะคนแตกต่างกันออกไป แต่ผลข้างเคียงมักจะเป็นผลระยะสั้น เช่นมีการบวมช้ำใน 3-5 วัน และจะค่อยๆหายไป
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังดูดไขมันต้นขา
- หลังผ่าตัด จะมีน้ำซึมจากแผลออกมาเรื่อย ๆ ประมาณ 1-2 วัน
- แผลผ่าตัดจะเย็บด้วยไหมชนิดต้องตัดออก โดยแพทย์จะนัดตัดไหมที่ 1 สัปดาห์
- สิ่งที่สำคัญคือการใส่ผ้ากระชับ ในช่วง 1 เดือนแรกควรสวมชุดกระชับเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ให้ถอดได้เฉพาะเวลาอาบน้ำ หรือวันละ 1-2 ชม. ในเดือนที่ 2-3 ให้ใส่วันละ 12 ชม. ทั้งนี้เพื่อให้ผิวหนังมีความกระชับ ได้รูปที่สวยงาม
- หลังจากดูดไขมัน จะมีอาการปวดล้า กล้ามเนื้อต้นขาได้บ้างเล็กน้อย แต่สามารถเดินได้ตามปกติ สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
- สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้หลังผ่าตัด 3 สัปดาห์ และออกกำลังหนักได้หลังผ่าตัด 6 สัปดาห์
- อาการช้ำ และปวด จะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่อาการบวมจะเป็นนานมากที่สุด ซึ่งอาจจะนานถึง 3 เดือน ทั้งนี้เพราะการดูดไขมันจะไปรบกวนระบบน้ำเหลืองและการไหลเวียนเลือดได้บ้าง ทำให้ฟื้นตัวนานสุด
- เห็นผลการรักษาได้ 80-90% เมื่อผ่านไป 3 เดือน
- อาจมีอาการปลายประสาทอักเสบ รู้สึกชา ๆ บริเวณที่ทำการดูดไขมันได้ ซึ่งจะหายไปเอง เมื่อครบ 3 เดือน