วิธีป้องกันและรักษาแผลเป็นทำได้อย่างไรบ้าง

รักษาแผลเป็น

แผลเป็น เกิดจาก อุปบัติเหตุ หรือการถูกของมีคมทิ่มแทงทำให้เกิดแผล หรือเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ โดยแผลเหล่านั้นจะมีการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ที่เป็นคอลลาเจนมาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาแผลเป็นตามธรรมชาติ เมื่อแผลหายดีแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ โดยแผลที่มักทำให้เกิดแผลรอยแผลเป็นก็ได้แก่ แผลจากอุบัติเหตุ ถูกของมีคมบาด แผลผ่าตัด แผลปลูกฝี ฉีดวัคซีน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลสิว แผลจากโรคอีสุกอีใส แผลจากรอยสัก เป็นต้น และนอกจากจะเป็นรอยแผลที่ผิวหนังภายนอกแล้ว ยังเกิดขึ้นได้กับอวัยวะภายในอีกด้วย

แผลเป็นสามารถแบ่งประเภทได้ 3 ประเภทดังนี้

  1. แผลเป็นแบบเนื้อแหว่งหายไปหรือแบบบุ๋ม สังเกตดูก็จะเห็นว่าผิวตรงนั้นจะยุบตัวมากกว่าผิวปกติ
  2. แผลเป็นแบบนูน จะเป็นแผลที่มีเนื้อแข็ง แต่ว่าจะนูนตามแนวแผลเดิมเท่านั้น
  3. แผลเป็นแบบคีลอยด์ จะเป็นแผลคล้าย ๆ แบบนูน แต่ขอบเขตการปูดของแผลเป็นจะลุกลามออกมามากกว่ารอยแผลเดิม เช่น ไปเจาะหูมา รูแค่นิดเดียวแต่มีแผลคีลอยด์ขนานเท่ากับเม็ดชานมไข่มุกอยู่ที่ติ่งหูแทน ซึ่งจุดที่มักจะเกิดแผลเป็นแบบคีลอยด์ได้ง่ายได้แก่ ใบหู สันกราม หัวไหล่ กลางหน้าอก กลางหลัง หรือใครที่มีการซ่อมแซมที่ผิดปกติก็จะเกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่ายด้วย ใครที่รู้ตัวว่าเป็นแผลคีลอยด์ง่าย ก็ต้องระวังไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บ

วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็น

การป้องกันการเกิดแผลเป็นตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นอะไรที่ควรทำอย่างยิ่งค่ะ เพราะถ้าหากไม่รู้จักวิธีป้องกันจนสุดท้ายเกิดแผลเป็นขึ้นมา การแก้ไขหรือรักษาแผลเป็นให้หายนั้น เป็นอะไรที่ยากเอาการเลยค่ะ อย่างคำสุภาษิตที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” นั่นเอง รู้อย่างนี้แล้วไปดูวิธีป้องกันรอยแผลเป็นกันเลย

ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ

เชื่อว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะหกล้ม มีดบาด สิ่งแรกที่หลายคนทำคือ รีบล้างแผลด้วยน้ำ หรือแอลกอฮอล์ ขอบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง! เพราะน้ำและแอลกอฮอล์จะทำให้แสบและระคายเคือง นอกจากนี้แอลกอฮอล์อาจทำลายเนื้อเยื่อบริเวณแผล ส่งผลให้แผลหายช้าและเกิดแผลเป็นได้ ฉะนั้นเวลาเป็นแผลสิ่งแรกที่ควรทำคือ ล้างแผลด้วยน้ำเกลือล้างแผลนั่นเอง เพราะความเข้มข้นของน้ำเกลือล้างแผลจะใกล้เคียงกับน้ำในร่างกายและเซลล์ผิวของเรา จึงทำให้ไม่แสบ ไม่ระคายเคือง ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้โอกาสเกิดแผลเป็นลดลง

รับประทานอาหารที่ช่วยส่งเสริมการสมานแผล

วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็นวิธีนี้เป็นอะไรที่ง่ายสุด ๆ เพียงแค่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินซี ธาตุเหล็กและสังกะสี ก็สามารถช่วยสมานแผลได้อีกทางแล้ว

โปรตีน : อาหารที่มีโปรตีนสูงจะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย ทำให้แผลสมานเร็วและหายเร็วขึ้น โดยโปรตีนจะพบได้ในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักและผลไม้ เช่น อะโวคาโด

วิตามินซี : ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อโปรตีนสำคัญที่ใช้สร้างผิวหนัง จึงทำให้แผลสมานเร็วขึ้น วิตามินซีจะพบได้ในส้ม ฝรั่ง สับปะรด บรอกโคลี

ธาตุเหล็กและสังกะสี : ธาตุเหล็ก เป็นส่วนสำคัญในเม็ดเลือดแดง ที่คอยส่งออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณบาดแผล ทำให้แผลสมานกันได้ง่ายขึ้น ส่วน สังกะสี จะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่มีหน้าที่ผลิตเซลล์ผิวใหม่ แถมยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนมาช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังได้มากขึ้น ซึ่งธาตุเหล็กและสังกะสี จะพบมากในตับ หอยนางรม และถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ

อย่าแคะ แกะ เกาแผล

พอแผลเริ่มแห้ง ใครชอบแคะ แกะ เกาแผลตัวเองบ้างเอ่ย ขอบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะมันจะเป็นการเปิดแผลอีกครั้ง แทนที่แผลจะแห้งและค่อย ๆ หาย กลับต้องมาเริ่มสมานใหม่ ทำให้แผลหายช้า แถมเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น นอกจากนี้มือและเล็บของเรา ถือเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดีเลยละ ฉะนั้นเวลาเราแคะ แกะ หรือเกาแผล เชื้อโรคที่มือและเล็บก็อาจทำให้แผลอักเสบกว่าเดิม แถมหายช้า และเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นอีกด้วย

ดูแลแผลให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอด

หลังจากแผลแห้งสนิทให้ทาเจลลดรอยแผลเป็น เพื่อส่งเสริมการสมานแผล และการดูแลแผลให้ชุ่มชื้นด้วยปิโตรเลียมเจล หรือสกินแคร์กลุ่มให้ความชุ่มชื้น เพราะในสภาวะที่ผิวมีความชุ่มชื้น ผิวก็จะทำหน้าที่ของมันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเซลล์ผิว หรือการซ่อมแซมตัวเอง ส่งผลให้กระบวนการสมานแผลนั้นเร็วขึ้น และลดโอกาสการเกิดแผลเป็นอีกด้วย

ทายาลดรอยแผลเป็น

หลังจากแผลแห้งสนิทแนะนำให้หาเจลลดรอยแผลเป็นมาทาทันที เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็นและลดรอยแผลเป็นค่ะ โดยเราควรมองหายาทาลดรอยแผลเป็นที่มีส่วนผสมของ  Vitamin B3, Vitamin C ที่จะช่วยให้รอยแผลเป็นสีคล้ำจางลง หรือ CPX  ที่มีคุณสมบัติช่วยให้ความนูนของแผลเป็นลดลงและอ่อนนุ่มขึ้น

การรักษาแผลเป็น รักษาอย่างไร

การรักษาแผลเป็นแต่ละชนิดก็มีขั้นตอนการรักษาแตกต่างกัน ถ้าแผลเป็นแบบมีรอยดำรอยแดง ก็สามารถใช้ยาลดรอยดำรอยแดงได้ รวมถึงหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือทำเลเซอร์ลดรอยก็ช่วยได้แล้ว ส่วนแผลเป็นแบบยุบตัว ต้องทายากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนพวกกรดวิตามินเอ หรือกระตุ้นเนื้อเยื่อด้วยการผ่าตัดหรือเลเซอร์ก็ช่วยได้ ส่วนแผลเป็นแบบนูนและคีลอยด์ ต้องฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในแผลเป็น บางคนอาจต้องรักษาแผลเป็นด้วยความเย็นและเลเซอร์ รวมไปจนถึงการฉายรังสีร่วมด้วย

ซึ่งการรักษาแผลเป็นที่ฟังดูยากทั้งหมดนี้ ถ้าเราดูแลแผลตั้งแต่มีบาดแผลใหม่ ๆ ก็จะช่วยให้แผลเป็นเกิดขึ้นได้ยาก อันดับแรกต้องดูแลแผลให้สะอาดอย่าไปรบกวนแผลมาก รวมถึงหลีกเลี่ยงการโดนน้ำจนกว่าแผลจะเริ่มแห้ง ถ้าเป็นแผลใหญ่หรือมีการอักเสบควรให้หมอดูแต่เนิ่น ๆ เวลาแผลเป็นสะเก็ดก็ห้ามแกะเด็ดขาด ที่สำคัญควรทายารักษาแผลเป็นช่วงที่แผลเริ่มสมานก็จะช่วยให้แผลเป็นเกิดขึ้นได้ยาก หรือเห็นแค่รอยแผลเป็นจาง ๆ ไม่ชัด